ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับเพชร

เซอร์ GIA เพชรน้ำ 100, 40 ตังค์

10 ความเข้าใจผิดเรื่องเพชร แหวนเพชร

1. ซื้อเพชรแบบไม่มีเซอร์ ถูกกว่าเพชรมีใบเซอร์

หลายๆท่านเข้าใจผิดว่า เพชรไม่มีใบเซอร์นั้น ถูกกว่าเพชรมีใบเซอร์ ตัวผมเองตอนแรก ก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน แต่จากประสบการณ์ซื้อเพชร มาอย่างยาวนาน พบว่า ความจริงแล้ว เพชรที่คุณภาพดีๆนั้น ส่วนมากจะถูกส่ง ไปออกใบเซอร์ ส่วนเพชร ที่ไม่มีใบเซอร์นั้นมักจะ เป็น เพชรคุณภาพกลางๆ หรือ คุณภาพต่ำๆ นานๆครั้ง ถึงจะเห็นเพชรไม่มีเซอร์ คุณภาพดี และ เท่าที่เจอ ราคาก็มักจะค่อนข้างสูง แทบไม่ต่างกับ เพชรที่ส่งไปออกเซอร์ แล้วคุณภาพเดียวกัน 

ข้อสรุปของผมก็คือ ถ้าเพชรคุณภาพเดียวกันจริงๆ ราคาเพชรมีเซอร์และเพชรไม่มีเซอร์ ไม่แตกต่างกันเลยครับ

2. แหวนเพชรที่เห็นทั่วไปในตลาด เป็นแหวนทองคำขาว

เดี๋ยวนี้แหวนเพชรตัวเรือนสีขาว (สีเงิน) เป็นที่นิยมกว่า แหวนทองมาก บางท่าน อาจมองว่าแหวนทองดูแก่ แต่ลูกค้าส่วนใหญ่ ยังเข้าใจผิดครับว่า แหวนเพชร ที่เห็นขายๆกัน เป็นแหวนทองคำขาว จริงๆแล้ว แหวนเพชร ที่เห็นทั่วไปในตลาดนั้น เป็นแหวนทองขาว (White Gold) ไม่ใช่ แหวนทองคำขาว (Platinum) แหวนทองคำขาว หรือ แพลทินัม ราคาสูงกว่า ทองพอสมควร และ ค่าแรงในการขึ้นรูปตัวเรือน ก็สูงกว่าด้วยครับ จริงๆแล้ว ในเมืองไทย มีโรงงานที่สามารถ หล่อแพลทินัมได้ แค่ไม่กี่โรง เพราะเครื่องหล่อราคาแพงมากครับ

3. เพชรน้ำ 100 คือเพชรที่สวยที่สุด
อย่างที่เคยกล่าว ในบทความ 4Cs ของเพชร มาแล้วว่า น้ำ = สีของเพชร โดยเรียงลำดับจากน้ำ 100 = D color , น้ำ 99 = E color , น้ำ 98 = F color ไล่ไปตามลำดับ ลูกค้าหลายๆท่าน มักจะคิดและเข้าใจว่า เพชรน้ำ 100 คือ ที่มีคุณภาพดีที่สุด และ สวยที่สุด ความจริงแล้ว เป็นเรื่องที่เข้าใจผิดกัน เพราะเรื่องน้ำของเพชร เป็นเรื่องของสีโดยเฉพาะ สิ่งที่ลูกค้าส่วนใหญ่ ต้องการกลับ เป็นเพชรที่มีประกาย และเล่นไฟดี

จึงเป็นเรื่องที่หลายๆคน เข้าใจผิดคิดว่าน้ำ 100 เป็นเพชรที่มีประกายดีที่สุด จริงๆแล้วไม่เกี่ยวกันครับ ถึงเป็นเพชรน้ำ 100 ถ้ามีตำหนิใหญ่ๆ หรือ เจียระไนห่วยๆ เพชรเม็ดนั้นๆคงไม่สวยแน่ แล้วเพชรที่มีประกายดีเป็นอย่างไร ติดตามอ่าน บทความเรื่อง ประกายเพชร เพิ่มเติมได้ครับ เพราะความสวยงามของเพชรโดยรวม ขึ้นอยู่กับสัดส่วนและการเจียระไน ดังนั้นเพชรน้ำ 95 3EX อาจแวววาว วิบวับกว่าเพชรน้ำ 100 3VG ก็ได้ครับ

4. เพชรแข็งที่สุดในโลก ไม่มีวันแตก

เป็นความจริงครับ ที่ว่าเพชรเป็นสสารที่แข็งที่สุดในโลก คือ มีความแข็งสูงสุดตามสเกลของโมห์ คือ 10 ซึ่งแข็งกว่า สสารลำดับสอง ที่มีความแข็ง 9 ถึงประมาณ 200 เท่า อย่างไรก็ดี เพชรนั้นแข็งแต่เปราะ ไม่ได้มีความเหนียวสูง อย่างพวกโลหะ ทำให้สามารถบิ่น หรือ แตกร้าวได้หากถูกกระแทก หรือ ทำตก ดังนั้น เราจึงไม่สามารถทำให้เพชรมีรอยขูดขีดใดๆได้ โดยใช้มีด หรือ หินขูด แต่เราสามารถทำให้เพชรแตก หรือ บิ่นได้ การสวมใส่เพชร หรือแหวนเพชร จึงต้องระวังครับ

5. ทองเคคือทองปลอม

ยังมีลูกค้าหลายท่านที่เข้าใจผิดว่า ทองเคเป็นทองปลอม ไม่ใช่ของแท้ เป็นทองเปอร์เซ็นต์ต่ำ หรือ เป็นทองชุบมั่งล่ะ ความจริงแล้วคำว่า ทองเค หมายถึงว่าโลหะมีค่านั้นๆมีส่วนผสมของทอง ซึ่งจะมีมาก หรือน้อยขึ้นอยู่ว่า เป็นทองกี่ K โดยทอง 24K คือทอง 99.99% (หลายๆคนที่เข้าใจผิดคิดว่า ทอง 24K คือ ทอง บริสุทธิ์ 100% แต่ความจริงแล้วเป็นเพียงทอง 99.99% เพราะ ไม่สามารถสกัดมลทิน ออกจากทองได้หมด) และ อย่างทอง 18K คือ ทอง 75% (18/24) ทีนี้แล้วเราจะทราบได้อย่างไรว่า แหวนวงนั้นๆ มีทองผสมอยู่กี่เปอร์เซ็นต์? ให้สังเกตที่ hallmark ที่ตอกอยู่ที่ เครื่องประดับ อย่างเช่น แหวน มักจะอยู่ที่ด้านใน ของแหวน ต่างหู จะปั๊มที่ตัวเรือนด้านหลัง และ ที่แป้นต่างหู เป็นต้น

โดย hallmark ที่ประทับลงไปนั้น ที่พบเห็นกันส่วนใหญ่ ได้แก่ 9K 14K 18K 22K 24K แต่นอกจาก hallmark ที่เราสังเกตได้เบื้องต้นแล้ว เราต้องซื้อจากร้าน ที่น่าเชื่อถือ หรือไว้ใจได้ด้วย เพราะต่อให้มี 18K ตอกอยู่ที่ตัวเรือน แต่เราก็ไม่สามารถทราบได้อยู่ดี ว่าเปอร์เซ็นต์ทองครบ 75% หรือ ไม่ ส่วนหนึ่งต้องอาศัยความซื่อสัตย์ของคนขาย และ ความเชื่อใจกัน โดยสรุปแล้ว คำว่าทองเค ก็คือทองนั่นแหล่ะครับ เพียงแต่ว่าจะมีทองเป็นส่วนผสม กี่เปอร์เซ็นต์ ยิ่งมีทองผสมมาก เคก็ยิ่งสูงครับ

 

6. ตัวเรือนแพลทินัมแข็งแรง กว่าทองไม่เป็นรอยขูดขีด

ถึงแม้ว่าตัวเรือนแพลทินัม แข็งแรงกว่าทอง มีความหนาแน่นมากกว่า การยึดจับของหนามเตยบนเครื่องประดับก็ แข็งแรงกว่า ทำให้ยืดระยะเวลาของ การใช้งานออกไปได้มากกว่า แต่ ก็สามารถเกิดรอยที่เรียกว่า รอยขนแมวบนตัวเรือน เครื่องประดับได้เช่นเดียวกัน นั่นเป็นเพราะว่า แพลทินัมนั้น มีความแข็งเพียง 4-4.5 ตามสเกลของโมห์ (ในขณะที่ทองมีความแข็งต่ำกว่า คือ 2.5-3.0) ซึ่งต่ำกว่าแร่ควอทซ์ ที่ปะปนกับ ฝุ่นในอากาศ ดังนั้นเวลาที่เราสวมใส่เครื่องประดับ แล้วมีฝุ่นมาเกาะ พอเราเช็ดออก ก็จะเกิดริ้วรอยต่างๆ ได้ หรือขณะเราสวมใส่ก็อาจจะมีการกระแทก ถู หรือ สัมผัสกับสิ่งต่างๆที่มีความแข็งสูงกว่า ก็ทำให้เกิดรอยเป็นริ้วๆ ได้เช่นเดียวกัน

แต่เครื่องประดับแพลทินัมจะไม่หลุดลอก และ ไม่เกิดคราบดำของออกไซด์ที่ผิว จะเกิดเป็นเพียงรอยขนแมว ที่ทำให้แหวนแพลทินัม ดูเงาวาวน้อยลง การซ่อม หรือดูแลรักษาจึงน้อยกว่าแค่ขัดเงาให้ เครื่องประดับมันวาวเหมือนเดิม ไม่ต้องชุบเหมือนกับแหวนทอง

ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับเพชร และแหวนเพชร

7. เพชร IF คือเพชรไร้ตำหนิ

ลูกค้าหลายท่านมักถามผมว่า เพชรเม็ดนี้มีตำหนิมั้ย? หรือเพชรความสะอาด VS คือเพชรมีตำหนิใช่มั้ย? ความจริงก็คือ เพชรแท้ทุกเม็ดที่เกิดขึ้นเอง ตามธรรมชาติ ย่อมมีตำหนิแน่นอนครับ ที่เราว่าเพชร IF เป็นเพชรไร้ตำหนิ นั้นหมายถึง มองไม่เห็นตำหนิ เมื่อมองด้วยกล้องขยาย 10 เท่า หากเรา ใช้กล้องขยายที่มีกำลังสูงขึ้น เพชร IF ก็มีตำหนิเช่นเดียวกันครับ 

หลายๆท่าน มักตั้งแง่รังเกียจ เพชรมีตำหนิ แต่ความจริงก็คือ เพชรแท้ทุกเม็ดต้องมีตำหนิครับ ลักษณะ และ ตำแหน่งของตำหนิยังเป็นตัวยืนยัน และ แยกแยะเพชรแต่ละเม็ดออกจากกัน เฉกเช่นเดียวกับ ลายนิ้วมือของคนเราครับ

8. เพชรเซอร์ GIA สวยที่สุด

“เลือกซื้อเพชรเซอร์ GIA ซิ เพชรสวยสุด” เป็นอีกหนึ่งประโยคที่ผมได้ยินค่อนข้างบ่อย ความเชื่อนี้ก็เป็น ความเชื่อที่ผิดเช่นเดียวกันครับ ความจริงก็คือ เพชรเซอร์ IGI 3EX น่าจะสวยกว่า เพชรเซอร์ GIA 3VG หรือ ต่อให้คุณภาพเพชร เหมือนกันทุกอย่าง เพชรเซอร์ HRD หรือ IGI ก็ยังอาจสวยกว่า เพชรเซอร์ GIA ก็ได้ครับ เพราะความสวยของเพชรขึ้นกับ ปัจจัยต่างๆหลายอย่าง เช่น คุณภาพของเพชรก้อน การเรืองแสงภายใต้ UV ฯลฯ

เพชรเซอร์ GIA อาจสวยมากกว่า หรือ สวยน้อยกว่าเพชรเซอร์ HRD ก็ได้ครับ ความสวยของเพชรไม่ได้ขึ้นอยู่กับ สถาบันที่ออกเซอร์ ถ้าไม่งั้นผมก็คงส่ง เพชรขี้เหร่ๆ ไปเซอร์ที่ GIA ให้หมด จะได้เพชรสวยๆกลับมาครับ

9. เพชรขนาดหนึ่งกะรัตที่สวย ต้องมีหน้ากว้าง 6.5 มม ขึ้นไป

สมัยก่อนที่ผู้ซื้อ ยังไม่มีความรู้ในการเลือกซื้อเพชร และ อินเตอร์เนทยังไม่แพร่หลาย การเข้าถึงความรู้ต่างๆที่ถูกต้องเกี่ยวกับเพชร จึงค่อนข้างจำกัด หลายๆท่านได้ยินและได้ฟังการบอกต่อๆกันมาว่า เพชรขนาดหนึ่งกะรัตที่สวยนั้น ต้องมีหน้ากว้าง 6.5 มม ขึ้นไป ถ้าเล็กกว่านั้น ถือว่าเพชรเม็ดนั้น ดูหน้าแคบ ดูเล็กกว่าที่ควร ไม่น่าซื้อ จากการทดลองและวิจัยตามหลักการทางวิทยาศาสตร์ ได้มีการค้นพบว่า เพชรที่สวยที่สุดนั้น ควรมี เปอร์เซ็นต์ความลึก (ความหนาเทียบกับเส้นผ่านศูนย์กลาง) อยู่ที่ 58-62.3%

จากประสบการณ์ที่ผ่านมา เพชรน้ำหนัก 1.01-1.03 ที่มีเปอร์เซ็นต์ความลึกตามเกณฑ์ที่ว่านี้จะมี หน้ากว้าง 6.3-6.5 มม ไม่ใช่ มากกว่า 6.5 มม นะครับ เพชรบางเม็ด ที่หน้ากว้างกว่า 6.5 มม เช่น อาจกว้างสัก 6.6 มม แต่หนัก 1.2 กะรัต เพชรอาจจะหนามาก และหน้ามืด ไม่สะท้อนแสงก็เป็นได้ เราจึงต้องดูหน้ากว้าง เปรียบเทียบกับ ความหนาด้วยเสมอ ไม่ใช่ดูแต่เพียงหน้ากว้างอย่างเดียวครับ

10. ราคาพอร์ทหรือราคากลางของเพชร เป็นความลับทางการค้า

ในประเทศที่พัฒนาแล้วหลายๆประเทศ อย่าง สหรัฐอเมริกา หากเราๆท่านจะซื้อเพชร ที่ร้านสักร้าน คนขายต้องแสดงราคาพอร์ท (ราคากลางของเพชรสำหรับอ้างอิง) ให้ผู้ซื้อดูและ แจ้งราคาเป็นส่วนลด (Discount) หรือ บวกเพิ่ม (Premium) จากราคาพอร์ทอีกทีนึง เพื่อให้เป็นการง่ายในการเปรียบเทียบ เช่น เพชรขนาด 1.02 FVS1 ร้านแรกให้ส่วนลด 2% จากราคาพอร์ท พอมาร้านที่สองเป็นเพชร EVS1 1.03 ได้ส่วนลด 5% จาก ราคาพอร์ท อันนี้พอสรุปได้ว่า ร้านสองถูกกว่า (สมมติว่าคุณภาพอื่นๆ เรื่องสัดส่วน การเจียระไน ฟลูออเรสเซน เหมือนกันๆ เพื่อความง่ายครับ) หากไม่มีการเปรียบเทียบส่วนลด เพชรน้ำ 99 แน่นอนว่า ย่อมแพงกว่าเพชรน้ำ 98 ครับ

กลับมาที่ประเทศไทย ประเทศที่กำลังพัฒนา มาหลายสิบปี ตั้งแต่ก่อนผมเกิด ร้านเพชรน้อยร้านมากครับ ที่จะแสดงราคาพอร์ทให้ดู บางร้านอาจไม่รู้จักด้วยซ้ำว่า ราคาพอร์ทคืออะไร ผมเข้าใจว่าที่เป็นเช่นนี้ เพราะผู้ขายเกรงว่า ถ้าขายเพชรในราคาที่สูงกว่าราคาพอร์ทอาจขายยาก เพราะผู้ซื้อจะรู้สึกว่าแพง ความจริงแล้ว ราคาพอร์ทไม่ได้เป็นความลับทางการค้าแต่อย่างใด เป็นเพียงราคากลางไว้อ้างอิง เพื่อการเปรียบเทียบราคา ร้านเพชรที่ทำการค้าอย่างซื้อสัตย์ และ มีความรู้พอสมควร ย่อมยินดีที่จะแสดงราคาพอร์ทให้ดู เมื่อผู้ซื้อร้องขอ